อุปกรณ์ป้องกันเสียง (Hearing Protection)
Hearing Protection (อุุปกรณ์ป้องกันเสียง)
อุปกรณ์ป้องกันเสียงควรถูกใช้เมื่อ มีการทำงานให้บริเวณที่มีเสียงสูงเกิน 85 decibels (A-weighted) หรือ dBA. หากทำงานในบริเวณที่มีเสียงเกิน 85 decibels อาจทำให้ส่งผลต่อการได้ยินในอนาคต ดังนั้นการเลือกที่อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่เหมาะสม และรู้จักวิธีใช้ที่ถูกต้อวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ระดับความดังของเสียง (Sound Level / Sound Pressure Level)
นี่คือความหมายที่พบบ่อยที่สุดเมื่อพูดถึง "ค่าเสียง" โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย
-
หน่วยวัด: วัดเป็นหน่วย เดซิเบล (dB) ซึ่งเป็นหน่วยลอการิทึมที่ใช้อธิบายความเข้มหรือความดังของเสียงเมื่อเทียบกับระดับอ้างอิง
-
dBA: เป็นหน่วยที่ใช้บ่อยที่สุดในการวัดระดับเสียงที่หูของมนุษย์สามารถรับรู้ได้ โดยมีการปรับค่าให้สอดคล้องกับความไวของหู
-
dBC: ใช้สำหรับการวัดเสียงที่มีความถี่ต่ำหรือเสียงที่ดังมาก
-
-
การวัด: ใช้เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter) โดยทั่วไปจะวางไมโครโฟนของเครื่องวัดให้ชี้ไปยังแหล่งกำเนิดเสียง และควรถือเครื่องวัดให้นิ่งเพื่อการวัดที่แม่นยำ
-
ความสำคัญ: การวัดระดับเสียงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดมาตรการป้องกันอันตรายจากเสียงดัง
ข้อแตกต่างหลักของอุปกรณ์ป้องกันเสียงอยู่ทีี่องค์ประกอบหลัก ดังนี้:
- ระดับของเสียงที่ต้องลดซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละหน้างาน
- ความเหมาะสมของทั้งผู้ใช้งาน และสถานที่ทำงาน/ หน้างานที่ต้องเผชิญ
- ส่วมใส่สบาย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุุคคล
การประเมินค่าเสียงที่ต้องลด
ทางโรงงานจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบระดับเสียง ซึ่งจะมีค่าเป็น NRR (Noise Reduction Rating) หรือเป็น SNR (Single Number Rating) ระบบการประเมินค่าเสียงทั้งสองนี้ เป็นเหมือนตัวกลางบ่งบอกว่าอุปกรณ์ลดเสียงแต่ละชนิดสามารถมีประสิทธิภาพในการลดเสียงได้กี่ decibels ดังนั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งาน/โรงงาน เลือกอุปกรณ์ลดเสียงให้เหมาะสมกับหน้างานได้ดียิ่งขึ้น
ระดับการลดเสียง (Noise Reduction Rating - NRR)
NRR เป็นค่ามาตรฐานที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของที่อุดหูในการลดเสียงรบกวน ค่า NRR ที่สูงขึ้นหมายถึงความสามารถในการลดเสียงที่ดียิ่งขึ้น โดยทั่วไป ที่อุดหูจะมีค่า NRR ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ การเลือกค่า NRR ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความดังของเสียงในสภาพแวดล้อมนั้นๆ
ประเภทของเสียงมีรายละเอียด ดังนี้:
1. เสียงดังแบบต่อเนื่อง (Continuuous Noise)
เสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.1 เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Strady-state Noise) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงพัดลม เครื่องปั่นด้าย เป็นต้น
1.2 เสียงดังต่อเนื่องแบบไม่คงที่ (Non-state Noise) โดยมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 10 เดซิเบล เช่น เครื่องเจียร เป็นต้น
2. เสียงดังเป็นช่วงๆ (Intermittent Noise)
เสียงที่ดังไม่ต่อเนื่อง เสียงที่เงียบและเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องสลับกันไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม หรือเสียงจราจร
3. เสียงดังกระทบหรือกระแทก (Impact or Impulse Noise)
เป็นเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็วดยมีการเปลี่ยนแปลงเสียงมากกว่า 40 เดซิเบล เช่น การทุบเคาะอย่างแรง
3.1 Impact Noise เสียงที่เกิดขึ้นในที่ที่มีเสียงสะท้อน เช่น เสียงโลหะกระแทกในห้อง
3.2 Impulse Noise เสียงที่เกิดขึ้นในที่ที่ไม่มีเสียงสะท้อน เช่น เสียงดังใรที่โล่ง
ค่าถ่วงน้ำหนักความถี่ของเสียง (Weighting) สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
มาตรฐานและเกณฑ์ค่าเสียงที่ปลอดภัย
มีหน่วยงานและกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานของระดับเสียงที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะในสถานประกอบการ:
-
ระดับเสียงที่ปลอดภัย: โดยทั่วไปแล้ว องค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานด้านความปลอดภัยต่างๆ แนะนำว่า ไม่ควรสัมผัสเสียงที่ระดับ 85 เดซิเบล (dBA) เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หากไม่สามารถลดเสียงได้ พนักงานควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันหู
-
กฎหมายและข้อบังคับ: ในประเทศไทยมีกฎหมายและข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมระดับเสียงในสถานที่ทำงาน เช่น:
-
ได้รับเสียงไม่เกิน 7 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 91 dB(A)
-
ได้รับเสียง 7-8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 90 dB(A)
-
ได้รับเสียงเกิน 8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงไม่เกิน 80 dB(A)
-
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่ที่มีระดับเสียงเกิน 140 dB(A)
-

หมายเหตุ: โดยหน่วยที่ใช้วัดเสียงในการประกาศนี้ ใช้เป็นหน่วยวัดเดซีเบลเอ
ที่อุดหู (Earplugs) ผลิตจากวัสดุหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและลักษณะเฉพาะที่ต้องการ โดยวัสดุหลักๆ ที่นิยมใช้ ได้แก่:
- โฟม (Foam): เป็นวัสดุที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยเฉพาะโฟมโพลียูรีเทน (Polyurethane foam) ที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น และสามารถบีบอัดแล้วขยายตัวเพื่อปิดช่องหูได้อย่างพอดี ที่อุดหูแบบโฟมมักมีราคาไม่แพงและให้การลดเสียงที่ดีเยี่ยม แต่ก็อาจเสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อใช้งานบ่อยครั้งและอาจสะสมฝุ่นได้
-
ซิลิโคน (Silicone): ซิลิโคนเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูง ทนทาน และสามารถทำความสะอาดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง ที่อุดหูซิลิโคนมีทั้งแบบที่ขึ้นรูปไว้ล่วงหน้า (Premolded) และแบบที่สามารถปั้นขึ้นรูปให้เข้ากับช่องหูได้ (Moldable) ซึ่งให้ความสบายในการสวมใส่และมักไม่ระคายเคือง
การสวมใส่และการดูแลรักษาที่ถูกต้อง
-
การสวมใส่: การสวมใส่ที่อุดหูอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด ควรศึกษาคู่มือการใช้งานหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แน่ใจว่าสวมใส่อย่างกระชับและถูกต้อง
-
การจัดเก็บ: ควรจัดเก็บที่อุดหูในที่สะอาดและแห้ง เพื่อป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งาน
Reference
http://www.ratchakitcha.soc.go.th
https://datacenter.deqp.go.th/